1.แบบมีฉนวนหุ้ม (STP : Shielded Twisted Pair)
สายสัญญาณ STP มีการนำสายคู่พันเกลียว
มารวมอยู่และมีการเพิ่มฉนวนป้องกันสัญญาณรบกวน
ซึ่งร่างแหนี้จะมีคุณสมบัติเป็นเกราะในการป้องกันสัญญาณรบกวนจากคลื่นแม่
เหล็กไฟฟ้าต่างๆ เรียกเกราะนี้ว่า ชิลด์ (Shield) และเป็นสายสัญญาณ
ที่ได้รับการพัฒนาต่อจากสาย UTP โดยเพิ่มการชีลด์กันสัญญาณรบกวนเพื่อทำให้
คุณสมบัติโดยรวมของสัญญาณดีมากขึ้น คุณลักษณะของสาย STP ก็เหมือนกับสาย
UTP คือมีเรื่องเกี่ยวกับอัตราการบั่นทอนครอสทอร์
รูปแสดงสายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวน
หุ้ม (STP : Shielded Twisted Pair)
ข้อดีของสาย STP
- ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงกว่า
UTP
- ป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นวิทยุ
ข้อเสียของสาย STP
- มีขนาดใหญ่และไม่ค่อยยืดหยุ่นในการงอพับสายมากนัก
- ราคาแพงกว่าสาย UTP
- ป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นวิทยุ
ข้อเสียของสาย STP
- มีขนาดใหญ่และไม่ค่อยยืดหยุ่นในการงอพับสายมากนัก
- ราคาแพงกว่าสาย UTP
2.สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้ม
(UTP : Unshielded Twisted Pair)
สาย UTP เป็นสายที่พบเห็นกันมาก
มักจะใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ไปยังอุปกรณ์สื่อสารตามมาตรฐานที่กำหนด
สำหรับสายประเภทนี้จะมีความยาวของสายในการเชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร และสาย UTP มี จำนวนสายบิดเกลียวภายใน 4
คู่ คู่สายในสายคู่ตีเกลียวไม่หุ้มฉนวนคล้ายสายโทรศัพท์
มีหลายเส้นซึ่งแต่ละเส้นก็จะมีสีแตกต่างกัน
และตลอดทั้งสายนั้นจะถูกหุ้มด้วยพลาสติก (Plastic Cover) ปัจจุบันเป็นสายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
เนื่องจากราคาถูกและติดตั้งได้ง่าย แสดงดังรูป
รูปแสดงสายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้ม
(UTP : Unshielded Twisted Pair)
สาย UTP จะมีสายสัญญาณอยู่จำนวน 4 คู่ 8 เส้น ประกอบด้วย
เขียว
- ขาวเขียว
ส้ม - ขาวส้ม
น้ำเงิน - ขาวน้ำเงิน
น้ำตาล - ขาวน้ำตาล
ข้อดีของสาย UTP
- ราคาถูก
- ติดตั้งง่ายเนื่องจากน้ำหนักเบา
- มีความยืดหยุ่น และสามารถโค้งงอได้มาก
ข้อเสียของสาย UTP
- ไม่ เหมาะในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ห่างไกลมาก เพราะสัญญาณที่วิ่งบนสายจะถูกลดทอนลงไปตามความยาวของสาย (มีความยาวของสายในการเชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร)
- ราคาถูก
- ติดตั้งง่ายเนื่องจากน้ำหนักเบา
- มีความยืดหยุ่น และสามารถโค้งงอได้มาก
ข้อเสียของสาย UTP
- ไม่ เหมาะในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ห่างไกลมาก เพราะสัญญาณที่วิ่งบนสายจะถูกลดทอนลงไปตามความยาวของสาย (มีความยาวของสายในการเชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร)
3.COAXIAL CABLE (สายโคแอ
คเชียล)
ที่ นิยมเรียกสั้นๆว่า
"สายโคแอ็ค" ในปัจจุบันใช้เดินในงานระบบรักษาความปลอดภัย (SECURITY),
ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (cctv),ระบบเคเบิ้ลทีวี(CATV),
ทีวีรวม (TV,MATV)และระบบดาวเทียม(SATELLITE)สายโคแอคมี ด้วยกันหลากหลายรุ่น
ซึ่งประอบไปด้วย 4 ส่วน ที่สำคัญดังนี้
1.CONDUCTOR ตัวนำสัญญาณภายในสุดส่วนมากจะเป็นแกนทองแดง
ทำหน้าที่นำสัญญาณจากอุปกรณ์ต้นทางไปยังปลายทาง
2. INSULATOR ฉนวนหุ้มตัวนำสัญญาณ มีส่วนช่วยในการลดทอนสัญญาณส่วนใหญ่จะเป็นโฟมหรือโพลิเอธิลีน(PE)
3. SHIELD เป็นโลหะหรือทองแดงถักหุ้มตลอดทั้งเส้น ทำหน้าที่ป้องกันสัญญาณรบกวน และป้องกันการแพร่กระจายคลื่นสัญญาณออกมาภายนอก
4. JACKET เป็นส่วนที่ห่อหุ้มสายเพื่อป้องกันการถูกแทง ฉีกขาดของสายภายใน ถ้าใช้เดินภายในอาคารจะเป็น PVC ,ใช้
ซึ่งประอบไปด้วย 4 ส่วน ที่สำคัญดังนี้
1.CONDUCTOR ตัวนำสัญญาณภายในสุดส่วนมากจะเป็นแกนทองแดง
ทำหน้าที่นำสัญญาณจากอุปกรณ์ต้นทางไปยังปลายทาง
2. INSULATOR ฉนวนหุ้มตัวนำสัญญาณ มีส่วนช่วยในการลดทอนสัญญาณส่วนใหญ่จะเป็นโฟมหรือโพลิเอธิลีน(PE)
3. SHIELD เป็นโลหะหรือทองแดงถักหุ้มตลอดทั้งเส้น ทำหน้าที่ป้องกันสัญญาณรบกวน และป้องกันการแพร่กระจายคลื่นสัญญาณออกมาภายนอก
4. JACKET เป็นส่วนที่ห่อหุ้มสายเพื่อป้องกันการถูกแทง ฉีกขาดของสายภายใน ถ้าใช้เดินภายในอาคารจะเป็น PVC ,ใช้
รูปแสดงสายโคแอคเชียล (COAXIAL CABLE )
ข้อดี ของสายโคแอคเชียล
1. มีประสิทธิภาพ และความต้านทานต่อการรบกวนสูง
2. สามารถส่งข้อมูลได้ไกลกว่าสายส่งข้อมูลแบบ twisted pair
3. สามารถส่งได้ทั้งเสียง สัญญาณวิดีโอ และข้อมูล
ข้อเสีย ของสายโคแอคเชียล
1. ราคาแพงกว่าสายส่งข้อมูลแบบ twisted pair
2. ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมีราคาสูงกว่าสายส่งข้อมูลแบบ twisted pair
3. จำกัดจำนวนของการเชื่อมต่อ
4. ระยะทางจำกัด
1. มีประสิทธิภาพ และความต้านทานต่อการรบกวนสูง
2. สามารถส่งข้อมูลได้ไกลกว่าสายส่งข้อมูลแบบ twisted pair
3. สามารถส่งได้ทั้งเสียง สัญญาณวิดีโอ และข้อมูล
ข้อเสีย ของสายโคแอคเชียล
1. ราคาแพงกว่าสายส่งข้อมูลแบบ twisted pair
2. ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมีราคาสูงกว่าสายส่งข้อมูลแบบ twisted pair
3. จำกัดจำนวนของการเชื่อมต่อ
4. ระยะทางจำกัด
4.เส้นใยนำแสง (Fiber Optic)
มีแกนกลางของสาย ซึ่งประกอบด้วยเส้นใยแก้วหรือพลาสติกขนาดเล็กหลายๆ
เส้นอยู่รวมกัน เส้นใยแต่ละเส้นมีขนาดเล็กเท่าเส้นผมและภายในกลวง
และเส้นใยเหล่านั้นได้รับการห่อหุ้มด้วยเส้นใยอีกชนิดหนึ่ง
ก่อนจะหุ้มชั้นนอกสุดด้วยฉนวน
การส่งข้อมูลผ่านทางสื่อกลางชนิดนี้จะแตกต่างจากชนิดอื่นๆ
สาย Fiber Optic แบ่งออกเป็น 2 แบบ
1. Single Mode (SM) มีเส้นผ่าศูนย์กลางของ Core และ Cladding 9/125 um ตาม ลำดับ ซึ่ง
ส่วนของแกนแก้วจะมีขนาดเล็กมากและจะให้แสงออกมา เพียง Mode เดียว แสงที่ใช้จะต้องเป็น
เส้นตรง ข้อดีทำให้ส่งสัญญาณได้ไกล
2. Multi Mode (MM) จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของ Core และ Cladding 62/125 um และ
50/125 um ตามลำดับ เนื่องจากขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของแกนมีขนาดใหญ่ ทำให้แนวแสงเกิด
ขึ้นหลายโหมด โดยแต่ละ Mode จะมีระยะเวลาในการเดินทางที่แตกต่าง กัน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้
เกิดการกระจายของแสง (Mode Dispersion)
1. Single Mode (SM) มีเส้นผ่าศูนย์กลางของ Core และ Cladding 9/125 um ตาม ลำดับ ซึ่ง
ส่วนของแกนแก้วจะมีขนาดเล็กมากและจะให้แสงออกมา เพียง Mode เดียว แสงที่ใช้จะต้องเป็น
เส้นตรง ข้อดีทำให้ส่งสัญญาณได้ไกล
2. Multi Mode (MM) จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของ Core และ Cladding 62/125 um และ
50/125 um ตามลำดับ เนื่องจากขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของแกนมีขนาดใหญ่ ทำให้แนวแสงเกิด
ขึ้นหลายโหมด โดยแต่ละ Mode จะมีระยะเวลาในการเดินทางที่แตกต่าง กัน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้
เกิดการกระจายของแสง (Mode Dispersion)
รูปแสดงสายเส้นใยนำแสง
(Fiber Optic)
ข้อดี (Fiber Optic)
1. ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง
2. ไม่มีการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า
3. ส่งข้อมูลได้ในปริมาณมาก
ข้อเสีย (Fiber Optic)
1. มีราคาแพงกว่าสายส่งข้อมูลแบบสายคู่ตีเกลียวและโคแอกเชียล
2. ต้องใช้ความชำนาญในการติดตั้ง
3. มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสูงกว่า สายคู่ตีเกลียวและโคแอก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น